2.05.01 รายงานการศึกษา/วิจัย โดย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
URI แบบถาวรของกลุ่มข้อมูลนี้
เอกสารที่เป็นผลงานทางวิชาการและมีกระบวนการขั้นตอนการจัดทำเนื้อหาความรู้ตามระเบียบการวิจัย ชื่อเรื่องส่วนใหญ่จะระบุชัดเจน เช่น รายงานการศึกษา รายงานการวิจัย ผลงานวิจัย งานวิจัย การวิจัยเชิงสำรวจ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ บทสรุปสำหรับผู้บริหารรายงานวิจัย/การศึกษา/โครงการ
เรียกดู
รายการที่เพิ่มล่าสุด
รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นณัฏฐนันท์ ไพบูลย์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2567)รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ประชาชนมีสิทธิเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นได้ หากเห็นว่าบุคคลดังกล่าวไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป ทั้งนี้ กลไกดังกล่าวได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 แต่อย่างไรก็ตาม กลไกดังกล่าวยังมีข้อปัญหาบางประการที่สำคัญ ดังนี้ ประการแรก ปัญหาหลักเกณฑ์ในการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น (1) ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เนื่องจาก กำหนดหลักเกณฑ์ถอดถอนแตกต่างจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 โดยตัดวิธีการลงคะแนนเสียงออกไป ดังนั้น พระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดวิธีการถอดถอนโดยการลงคะแนนเสียงไว้ ยังคงถือเป็นการดำเนินการที่เป็นไปตามหลักการที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ (2) สัดส่วนผู้เข้าชื่อเพื่อยื่นคำร้องเพื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอน จำนวนผู้มาลงคะแนนเสียงเพื่อให้มีการนับคะแนนเสียง และจำนวนคะแนนเสียงที่สามารถถอดถอนนั้น กำหนดสัดส่วนไว้อย่างไม่เหมาะสม ส่งผลให้การถอดถอนสำเร็จได้ยากเกินไป (3) กฎหมายไม่ได้กำหนดเหตุแห่งการถอดถอนไว้ชัดเจน ว่าการปฏิบัติหน้าที่เช่นใดหรือพฤติการณ์ใดจะเป็นเหตุให้สามารถเข้าชื่อกันเพื่อร้องขอให้มีการลงคะแนนเสียงได้ ทำให้อาจไม่เป็นการยุติธรรมต่อบุคคลที่ถูกให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง (4) กฎหมายมิได้กำหนดโทษในกรณีใช้สิทธิไม่สุจริตในการเข้าชื่อเพื่อยื่นคำร้องเพื่อริเริ่มกระบวนการถอดถอน หากแต่มีบทกำหนดโทษไว้เฉพาะกระบวนการลงคะแนนเสียงถอดถอนเท่านั้น จึงเป็นกรณีที่อาจก่อให้เกิดการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ประการที่สอง ปัญหาในกระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น (1) กรณีสมาชิกสภาท้องถิ่นแต่ละคนที่มีที่มาจากเขตเลือกตั้งต่างกัน แต่เมื่อต้องถูกถอดถอนกลับต้องใช้คะแนนเสียงจากทุกเขตเลือกตั้งในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ไม่มีความเหมาะสม เนื่องจากผู้แทนที่ได้รับเลือกเพื่อปฏิบัติหน้าที่และใช้อานาจแทนประชาชนควรถูกถอดถอนโดยประชาชนที่เลือกตัวแทนนั้นมา (2) การกำหนดเกณฑ์สัดส่วนคะแนนเสียง โดยต้องมีคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียง จึงสามารถถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นให้พ้นจากตำแหน่งได้ ภายใต้เงื่อนไขผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในครั้งนั้นต้องเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งหมดในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นการเข้าชื่อถอดถอนดังกล่าวถึงสำเร็จ เห็นได้ว่าการถอดถอนดังกล่าวกระทำได้โดยยากเกินไปปก บทคัดย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.3 ขอบเขตของการศึกษา 1.4 สมมุติฐานของการวิจัย 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 ข้อความคิดว่าด้วยการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง 2.1 แนวคิดว่าด้วยการใช้อำนาจในระบอบประชาธิปไตย 2.1.1 ประชาธิปไตยโดยทางตรง (Direct Democracy) 2.1.2 ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) 2.1.3 ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่น 2.2.1 หลักการกระจายอำนาจและองค์ประกอบของการปกครองส่วนท้องถิ่น 2.2.1.1 หลักแห่งการปกครองตนเองของประชาชนในท้องถิ่น (Local Self Government) 2.2.1.2 แนวคิดว่าด้วยหลักการกระจายอำนาจ 2.2.1.3 องค์ประกอบของการปกครองส่วนท้องถิ่น 2.2.2 โครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.2.2.1 รูปแบบการจัดโครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.2.2.2 การจัดรูปแบบและโครงสร้างการจัดชั้นภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.2.3 หน้าที่และอำนาจของสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2.3 การให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ้นจากตำแหน่ง 2.3.1 การอภิปรายไม่ไว้วางใจ (motion of no-confidence) 2.3.2 การถอดถอนโดยวิธี Impeachment 2.3.3 การถอดถอนโดยวิธี Recall 2.4 แนวคิดว่าด้วยการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง 2.4.1 สิทธิในการริเริ่มกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง 2.4.2 กระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.4.3 องค์กรที่ควบคุมดูแลการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2.4.4 ผลของการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บทที่ 3 การถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นของต่างประเทศ 3.1 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ 3.1.1 โครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3.1.1.1 ภาพรวมท้องถิ่น 3.1.1.2 สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 3.1.2 การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 3.2 ประเทศสหรัฐอเมริกา 3.2.1 โครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3.2.1.1 ภาพรวมท้องถิ่น 3.2.1.2 สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 3.2.2 การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 3.3 ประเทศแคนาดา 3.3.1 โครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3.3.1.1 ภาพรวมท้องถิ่น 3.3.1.2 สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 3.3.2 การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 3.4 เปรียบเทียบข้อกฎหมายว่าด้วยการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศแคนาดา 3.4.1 ความแตกต่างทางด้านรูปแบบการปกครอง 3.4.2 บทบัญญัติว่าด้วยการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 3.4.2.1 เหตุแห่งการถอดถอน 3.4.2.2 กระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 3.4.2.3 บทกำหนดโทษกรณีการเข้าชื่อโดยไม่สุจริต บทที่ 4 การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของประเทศไทย 4.1 ภาพรวมท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 4.1.1 ภาพรวมท้องถิ่น 4.1.2 สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 4.2 รัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 4.2.1 รัฐธรรมนูญ 4.2.1.1 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 4.2.1.2 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 4.2.1.3 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 4.2.2 กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4.2.2.1 พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 4.2.2.2 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 4.2.2.3 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล 2537 4.2.2.4 พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 4.2.2.5 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 4.2.3 กฎหมายว่าด้วยการถอดถอดสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการถอดถอดสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 4.2.3.1 พระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 4.2.3.2 ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... 4.3 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นในไทย 4.3.1 ความเป็นมาของการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 4.3.2 รูปแบบและกระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 4.3.2.1 สิทธิในการริเริ่มกระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง 4.3.2.2 กระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง 4.3.2.3 องค์กรที่ควบคุมดูแลการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง 4.3.2.4 ผลของการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง บทที่ 5 วิเคราะห์ปัญหาข้อกฎหมายและกระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 5.1 ปัญหาหลักเกณฑ์การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 5.1.1 ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 5.1.2 ความได้สัดส่วนของจำนวนผู้เข้าชื่อเพื่อยื่นคำร้องเพื่อดำเนินการให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น จำนวนผู้มาลงคะแนนเสียงเพื่อให้มีการนับคะแนนเสียง และจำนวนคะแนนเสียงที่สามารถถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่งได้ 5.1.3 เหตุแห่งการถอดถอน 5.2 ปัญหาในกระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 5.2.1 ความเหลื่อมล้ำของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5.2.2 การกำหนดเกณฑ์สัดส่วนคะแนนเสียงในการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น บทที่ 6 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ 6.1 สรุปผลการวิจัย 6.1.1 ปัญหาหลักเกณฑ์การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 6.1.1.1 ความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 6.1.1.2 ความได้สัดส่วนของผู้เข้าชื่อ 6.1.1.3 เหตุแห่งการถอดถอน 6.1.1.4 การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต 6.1.2 กระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 6.1.2.1 ความเหลื่อมล้ำของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6.1.2.2 เกณฑ์สัดส่วนคะแนนเสียงในการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 6.2 ข้อเสนอแนะ 6.2.1 ข้อเสนอแนะในประเด็นปัญหาหลักเกณฑ์การถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 6.2.2 ข้อเสนอแนะในประเด็นกระบวนการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น บรรณานุกรม สารบัญตาราง ตารางที่ 2.1 เปรียบเทียบรูปแบบการใช้อำนาจในระบอบประชาธิปไตย ตารางที่ 3.1 เปรียบเทียบอำนาจการปกครองบางประการในระดับต่าง ๆ ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตารางที่ 3.2 มลรัฐที่มีการถอดถอนมากที่สุด 10 อันดับแรก ตารางที่ 3.3 แสดงรายชื่อมลรัฐที่กำหนดเหตุแห่งการถอดถอนไว้ ตารางที่ 4.1 สถิติการจัดให้มีการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ตารางที่ 4.2 ข้อมูลผู้มาใช้สิทธิและผลคะแนนการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ตารางที่ 5.1 เปรียบเทียบบทบัญญัติเรื่องการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540, 2550 และ พ.ศ. 2560 ตารางที่ 5.2 การใช้สิทธิเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกิน 1,000,000 คน เมื่อ วันที่ 20 ธันวาคม 2563 ตารางที่ 5.3 การใช้สิทธิเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 500,001–1,000,000 คน ในจังหวัดที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุด 10 จังหวัดแรก เมื่อ วันที่ 20 ธันวาคม 2563 ตารางที่ 5.4 การใช้สิทธิเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 100,001–5000,000 คน ในจังหวัดที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุด 10 จังหวัดแรก เมื่อ วันที่ 20 ธันวาคม 2563 ตารางที่ 6.1 หลักการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540,2550 และ พ.ศ. 2560 สารบัญภาพ ภาพที่ 2.1 กระบวนการมีส่วนร่วม ภาพที่ 4.1 ขั้นตอนการยื่นคำร้องขอให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ภาพที่ 5.1 แสดงตัวอย่างกรณีเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่มี 6 เขตเลือกตั้ง ประวัติผู้เขียน2567รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ การเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกรรณิกา เนาว์วิลาศ (มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2566)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญ ต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 2) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และ 3) ศึกษา ความสัมพันธ์ของการรับรู้ และการยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยใช้รูปแบบการวิจัย เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ข้าราชการรัฐสภาสามัญที่ปฏิบัติงานในสำนักบริหารงานกลาง สังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 73 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถาม สถิติพรรณนาที่นำมาวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับสถิติอนุมานที่นำมาทดสอบสมมติฐานคือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า การเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญ ต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อยู่ในระดับมาก ปัจจัยส่วนบุคคล เพศ อายุ การศึกษา ตำแหน่ง ระดับตำแหน่งที่แตกต่างกัน มีการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลง สู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไม่แตกต่างกัน ยกเว้นอายุราชการ ปัจจัยด้านการรับรู้และปัจจัยด้านการยอมรับมีความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05ปกหน้า บทคัดย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ในการวิจัย 1.3 กรอบแนวคิดในการวิจัย 1.4 คำถามการวิจัย 1.5 สมมติฐานการวิจัย 1.6 ขอบเขตของการวิจัย 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.8 นิยามศัพท์เฉพาะ บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ 2.2 แนวคิดและทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง 2.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงขององค์กร 2.4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการรับรู้ 2.5 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 รูปแบบการวิจัย 3.2 ประชากรเป้าหมายและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม 4.3 ผลการวิเคราะห์เชิงพรรณนาเกี่ยวกับตัวแปร 4.4 ผลการวิเคราะห์สมมติฐานการวิจัย บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.2 อภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.4 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก แบบสอบถาม ภาคผนวก ข การตรวจสอบความเที่ยงตรงของเครื่องมือการวิจัย สารบัญตาราง ตารางที่ 4.2.1.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามเพศ ตารางที่ 4.2.1.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามอายุ ตารางที่ 4.2.1.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตาม การศึกษา ตารางที่ 4.2.1.4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามตำแหน่ง ตารางที่ 4.2.1.5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตาม ระดับตำแหน่ง ตารางที่ 4.2.1.6 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามอายุราชการ ตารางที่ 4.3.1.1 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวแปรการรับรู้ของข้าราชการรัฐสภาสามัญกับ การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตารางที่ 4.3.1.2 สรุปผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (x̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของตัวแปร การรับรู้ของข้าราชการรัฐสภาสามัญกับการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตารางที่ 4.3.2.1 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของตัวแปรการยอมรับของข้าราชการรัฐสภาสามัญกับการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตารางที่ 4.3.2.2 สรุปผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (x̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ตัวแปรการยอมรับของข้าราชการรัฐสภาสามัญกับการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตารางที่ 4.3.3.1 ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาแทนราษฎร ตารางที่ 4.3.3.2 สรุปผลการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (x̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตารางที่ 4.4.1.1 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำแนกตามเพศ ตารางที่ 4.4.1.2 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำแนกตามอายุ ตารางที่ 4.4.1.3 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำแนกตามการศึกษา ตารางที่ 4.4.1.4 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำแนกตามตำแหน่ง ตารางที่ 4.4.1.5 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำแนกตามระดับตำแหน่ง ตารางที่ 4.4.1.6 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำแนกตามอายุราชการ ตารางที่ 4.4.1.7 การแสดงการเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ของการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำแนกตามอายุราชการ (Multiple Comparisons) ด้วยวิธี Least Significant Difference ตารางที่ 4.4.1.8 สรุปผลการทดสอบสมมติฐานที่ 1 ปัจจัยส่วนบุคคลของข้าราชการรัฐสภาสามัญ สำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่แตกต่างกัน มีผลต่อการเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่แตกต่างกัน ตารางที่ 4.4.1.9 แสดงผลการวิเคราะห์การรับรู้และการยอมรับมีความสัมพันธ์กับการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตารางที่ 4.4.1.10 แสดงผลการเตรียมความพร้อมของข้าราชการรัฐสภาสามัญต่อการเปลี่ยนแปลง สู่ระบบงานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กรณีศึกษาสำนักบริหารงานกลาง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สารบัญภาพ ภาพประกอบที่ 1.1 กรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framework) ภาพประกอบที่ 2.1 การรับรู้ ประวัติผู้วิจัย2566รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎรชมพูนุช ตั้งถาวร; สติธร ธนานิธิโชติ; ณัชชาภัทร อมรกุล; วราภรณ์ ขันตีมิตร; อัษฎา พรสกุลคริสต์; สถาบันพระปกเกล้า (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2567)บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่อง “การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยมีขอบเขตการศึกษาวิจัยอยู่ในการพิจารณาร่างกฎหมายในช่วงสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 จากผลการศึกษาพบว่าในช่วงสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 กฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรมักจะเป็นร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี โดยร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งอาจจะต้องพบกับอุปสรรคตั้งแต่ขั้นตอนการยกร่างกฎหมาย นั่นคือ ร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรีจะมีระบบในการยกร่างที่ชัดเจนและมีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่ในการยกร่างและตรวจสอบความเรียบร้อย ในขณะที่ร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้น มีการริเริ่มจัดทำที่ไม่ชัดเจน และแม้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะสามารถช่วยดำเนินการได้ แต่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็อาจมีข้อจำกัดในการแสดงความคิดเห็นเรื่องความจำเป็นในการตรากฎหมาย ในส่วนของการนำร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาวาระแรกนั้น พบว่าร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมักจะถูกตีความว่าเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงิน ส่งผลให้ต้องรอคำรับรองจากนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่มีกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญใดกำหนดกรอบเวลาอย่างชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาภายในเวลาเท่าใด ส่งผลให้ร่างกฎหมายบางฉบับต้องรอคำรับรองเป็นเวลาเกือบปี อีกทั้งในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่ให้คำรับรองก็มักจะไม่มีการแสดงเหตุผลซึ่งทำให้เกิดการตั้งคำถามในมุมของผู้เสนอร่างกฎหมายเป็นอย่างมาก ส่วนในชั้นการพิจารณาร่างกฎหมายนั้น ในกรณีที่มีร่างกฎหมายหลายฉบับเสนอเข้าสู่การพิจารณาพร้อมกัน ร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรีก็จะได้รับการเลือกให้เป็นร่างหลักที่ใช้ในการพิจารณา ซึ่งในกรณีที่ร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีมีความแตกต่างจากร่างกฎหมายที่เสนอโดยภาคประชาชนหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็จะสร้างความกังวลให้แก่ภาคประชาชนว่าสุดท้ายร่างกฎหมายที่ได้ออกมาจะมีความแตกต่างจากร่างกฎหมายของภาคประชาชนจนผิดจากเจตนารมณ์หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ท่าทีของรัฐบาลในประเด็นดังกล่าวหรือประเด็นใกล้เคียงเป็นไปในทิศทางที่สวนทางกับแนวคิดหลักของกฎหมายที่ต้องพิจารณา ผลการศึกษามีข้อเสนอว่าในส่วนของการจัดทำร่างกฎหมายนั้น ควรมีการดำเนินการตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยเฉพาะการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมายและการรับฟังความคิดเห็นก่อนการจัดทำร่างกฎหมาย ซึ่งจะทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการเริ่มเสนอกฎหมายมีโอกาสที่จะทำการสื่อสารกันและร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน ที่สำคัญ ควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบความจำเป็นในการตรากฎหมาย เพื่อให้ร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือประชาชนมีความครอบคลุมและไม่ลักลั่นกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ ในส่วนของชั้นการพิจารณาร่างกฎหมายนั้น แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงการเลือกร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีเป็นร่างกฎหมายหลักไม่ได้ แต่ก็ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้าหากบังคับใช้บทบัญญัติมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 อย่างเคร่งครัดแล้ว ก็จะทำให้ได้ร่างกฎหมายที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง อีกทั้งควรมีการชี้แจงกติกาในการประชุมให้แก่ภาคประชาชนที่เป็นกรรมาธิการเข้าใจ ที่สำคัญ ในการพิจารณาร่างกฎหมายควรมุ่งเน้นการใช้มุมมองแบบบูรณาการเพื่อให้ได้ร่างกฎหมายที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์มากที่สุดไม่ว่าร่างกฎหมายนั้นจะเสนอโดยฝ่ายใดก็ตาม และในส่วนของการให้คำรับรองของนายกรัฐมนตรีนั้น มีข้อเสนอว่าควรกำหนดเวลาในการให้คำรับรองร่างกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงินของนายกรัฐมนตรี และในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่รับรอง ก็จะต้องมีการชี้แจงเหตุผลด้วยปก บทคัดย่อ Abstract Graphical abstract บทสรุปเชิงนโยบาย Policy Brief สารบัญ บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาในการวิจัย กรอบความคิดการวิจัย วัตถุประสงค์ ขอบเขตการวิจัย ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 1. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับประชาธิปไตย (Democracy) 2. แนวคิดและลักษณะของระบบรัฐสภา (Parliamentary System) 3. แนวคิดเกี่ยวกับการตรากฎหมายที่ดี 4. แนวคิดเกี่ยวกับการอภิบาลบนฐานของของร่วมมือ (Collaborative Governance) การบริหารจัดการการปกครองแบบเครือข่าย (Network Governance) และการมีส่วนร่วมของประชาชน (People’s Participation) บทสรุปและข้อเสนอของงานวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการนิติบัญญัติเพื่อให้ได้กระบวนการนิติบัญญัติที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กรอบแนวคิดในการวิจัย บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 1. วิธีการศึกษาวิจัย 2. วิธีการรวบรวมข้อมูล 3. การวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการศึกษาวิจัย 1. กระบวนการนิติบัญญัติในต่างประเทศ 1.1 กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศอังกฤษ 1.2 กระบวนการนิติบัญญัติในเครือรัฐออสเตรเลีย 1.3 กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศญี่ปุ่น 1.4 กระบวนการนิติบัญญัติในสหพันธรัฐเยอรมนี 1.5 กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศอินเดีย 1.6 กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศฟินแลนด์ 1.7 การวิเคราะห์กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศต่างๆ: จุดร่วม ความแตกต่าง และข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย 2. กระบวนการนิติบัญญัติในประเทศไทยสมัยสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 2.1 กระบวนการนิติบัญญัติภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 2.2 การพิจารณาร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 และกรณีศึกษาของการพิจารณาร่างกฎหมาย บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 1. สรุปผลการศึกษาวิจัย 2. การอภิปรายผล 3.ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และบทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในกระบวนการนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร บรรณานุกรม เอกสารภาษาไทย เอกสารภาษาต่างประเทศ2567รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง แนวทางการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรณัชชานุ พุ่มทอง; สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2566-07)การวิจัยเรื่องแนวทางการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เพื่อศึกษา 1) บริบท สภาพการปฏิบัติงานปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน และขอบเขตในการดำเนินงานตามสภาพความเป็นจริงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2) ความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ 3) เพื่อสร้างโปรแกรมการเรียนรู้หรือตัวแบบเพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานและหาแนวทางการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย (1) การวิเคราะห์เอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (2) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In–depth Interview) จากผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ 1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2) ผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ 3) นักวิชาการและผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ดำเนินการจัดหลักสูตรการพัฒนาผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรวิทยากร เป็นต้น โดยเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการศึกษาพบว่า 1. บริบท และสภาพการปฏิบัติงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การปฏิบัติงานภาคสนามหรือการปฏิบัติงานเชิงพื้นที่ และการปฏิบัติงานเชิงวิชาการ ส่วนปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของผู้ช่วยดำเนินงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ 1) ความด้อยศักยภาพและความสามารถในการปฏิบัติงาน 2) ค่าตอบแทนต่ำและไม่มีผลประโยชน์อื่นใด 3) หน้าที่ความรับผิดชอบและขอบเขตในการดำเนินงานกว้างขวางและไม่ระบุชัดเจน และ 4) ไม่มีการประเมินผลการดำเนินงานของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2. แนวทางในการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ 1) การฝึกฝนและเรียนรู้ระหว่างปฏิบัติงาน 2) การคัดเลือกโดย ส.ส. ให้ตรงตามลักษณะของงานที่จะมอบหมาย 3) การเข้าศึกษาอบรมเพื่อให้ได้รับความรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็น และ 4) การสร้างมาตรฐานในต่ำแหน่งผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3. โปรแกรมการศึกษาอบรมเพื่อพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยพัฒนาจากหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้าบางส่วน พิจารณาร่วมกับความต้องการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้อเสนอแนะจากผู้ช่วยดำเนินงานฯ และข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ แบ่งเป็น 6 หมวดวิชา จำนวน 100 ชั่วโมง และเพิ่มเกณฑ์ในระเบียบเกี่ยวกับระยะเวลา อย่างน้อย 2 ปี ในการดำรงตาแหน่ง เพื่อใช้ประโยชน์จากผู้ที่จะมาดำรงต่ำแหน่งอย่างแท้จริง รวมไปถึงเพื่อการพัฒนาเส้นทางอาชีพ (Career Path) 4. ข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มีความเป็นมืออาชีพ ได้แก่ 1) กำหนดแนวทางในการแต่งตั้งผู้ช่วยดำเนินงานฯ เป็น 2 ประเภท คือ ฝ่ายวิชาการและฝ่ายปฏิบัติงาน 2) ปรับปรุงระบบและระเบียบการจ้างผู้ช่วยดำเนินงานฯ โดย ส.ส. ต้องกำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของงานและมีการประเมินผลเป็นรายบุคคลเพื่อแจ้งต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร 3) ส่งเสริมให้ ส.ส. แต่งตั้งผู้ช่วยดำเนินงานฯ อย่างน้อย 1 คน ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยปัญหาในพื้นที่ 4) พิจารณาถึงความจำเป็นของการมีผู้ปฏิบัติงานประจำตัวสมาชิกรัฐสภาแต่ละประเภทอย่างเหมาะสม 5) ควรพิจารณาถึงประสิทธิภาพโดยอาจให้งบประมาณแก่ ส.ส. ในการบริหารจัดการงานหรือสำนักงานของตนเองบทสรุปเชิงนโยบาย บทสรุปผู้บริหาร บทคัดย่อ Abstract สารบัญ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ 1.3 ขอบเขตการวิจัย 1.4 นิยามศัพท์ 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและกรอบแนวคิดทฤษฎี 2.1 การทบทวนวรรณกรรม 2.2 กรอบแนวคิดทฤษฎี 2.3 กรอบแนวคิดการวิจัย บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย 3.1 แนวทางและวิธีการวิจัย 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4 แนวความคิดการวิเคราะห์ข้อมูล 3.5 ข้อจำกัดในการวิจัย บทที่ 4 ผลการวิจัย 4.1 สภาพการปฏิบัติงาน ขอบเขตในการดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4.2 ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาความเป็นมืออาชีพของผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4.3 ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโปรแกรมการเรียนรู้และการจัดการศึกษาอบรม บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 5.1 สรุป และอภิปรายผล 5.2 ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติงานให้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภาคผนวก ข การรับสมัครผู้ช่วยดำเนินงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ภาคผนวก ค แนวคำถามในการสัมภาษณ์ สารบัญภาพ ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดการวิจัย ประวัติผู้วิจัย2566-07รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การศึกษาสภาพปัญหาด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาสิริกร นามลาบุตร; ชนิดา เพชรทองคำ; สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2563)การศึกษาสภาพปัญหาด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัญหาด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา 2) แนวทางการพัฒนาและให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา การศึกษาวิจัย ครั้งนี้ มีการดำเนินงานด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสารวจความพึงพอใจของสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา โดยวิธีการเลือกสำนักงานแบบเจาะจงที่มีความสอดคล้องกับประเด็นการวิจัย ผู้ให้ข้อมูลหลักได้มาด้วยการเลือกแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น ซึ่งใช้วิธีตามความสะดวกที่เป็นข้าราชการรัฐสภาสามัญของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และผู้ให้ข้อมูลหลักในการสัมภาษณ์ด้านความพึงพอใจที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา รวมผู้ให้ข้อมูลหลักทั้งสิ้น 94 คน ผลของการศึกษา พบว่าการปฏิบัติหน้าที่มีสองลักษณะ คือ การปฏิบัติงานด้านวิชาการและการปฏิบัติงานด้านสารบรรณและธุรการทั่วไปของสำนัก การปฏิบัติงานด้านวิชาการ เช่น การศึกษาวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และข้อเสนอแนะด้านวิชาการและกฎหมาย การค้นคว้าและจัดทำเอกสารทางวิชาการ เปรียบเทียบกฎหมาย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) และการประชุมพิจารณาเกี่ยวกับ ญัตติ กระทู้ถาม และการรวบรวมและจัดทำรายงานการประชุมของแต่ละสภา เป็นต้น ส่วนการปฏิบัติงานด้านสารบรรณและธุรการทั่วไปของสำนัก เช่น ฝ่ายเลขานุการในที่ประชุมพิจารณาสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา การจัดทำหนังสือเชิญประชุม การจัดทำหนังสือเชิญประชุมชี้แจง การจัดทำหนังสือแต่งตั้งที่ปรึกษา การนัดประชุมและการจัดทำระเบียบวาระการประชุมการแสดงผลการลงมติ การจัดทำและแสดงผลการออกเสียงของที่ประชุมสภา เป็นต้น สำหรับสภาพปัญหา คือ การศึกษา ค้นคว้า รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลวิชาการและกฎหมาย การจัดเตรียมปฏิบัติงานวิชาการและกฎหมาย ในแต่ละช่วงเวลาก่อนการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่และหลังการปฏิบัติหน้าที่ การรวบรวมองค์ความรู้ในการปฏิบัติหน้าที่จำเป็นต้องนำไปใช้ การปฏิบัติงานด้านวิชาการและกฎหมายมีข้อจำกัด ในด้านทักษะดิจิทัล และด้านภาษาต่างประเทศ การปรับปรุงการทำงานร่วมกัน ระหว่างกลุ่มงาน ระหว่างสำนัก และระหว่างหน่วยงานภายนอก ดังนั้น การเพิ่มด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่เป็นแนวทางการพัฒนาและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บุคลากรมีศักยภาพในการปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ผู้บริหารควรมีการส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ เข้ารับการอบรมและศึกษาต่อตามพันธกิจในแต่ละด้านที่สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละสำนัก โดยเฉพาะด้านภาษาต่างประเทศ ด้านทักษะดิจิทัล กฎหมายเฉพาะทาง เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายธุรกิจการเงิน (โดยเฉพาะ Bitcoin) กฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กฎหมายภาษี กฎหมายมหาชน เป็นต้นปกหน้า คำนำ กิตติกรรมประกาศ บทสรุปสำหรับผู้บริหาร บทสรุปเชิงนโยบาย บทคัดย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ สารบัญ บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและกรอบแนวคิดทฤษฎี 2.1 การทบทวนวรรณกรรม 2.2 กรอบแนวคิดทฤษฎี (Theoretical Framework) 2.3 กรอบแนวคิดการวิจัย (Conceptual Framwork) บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย 3.1 แนวทางและวิธีการวิจัย 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการวิจัย 4.1 สภาพปัญหาด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา 4.2 แนวทางการพัฒนาและให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของ บุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย 5.2 อภิปรายผล 5.3 ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก สารบัญตาราง ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดเพื่อประเมินคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ข้อที่ 1 ตารางที่ 2 ตัวชี้วัดเพื่อประเมินคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ข้อที่ 2 ตาราง 3 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการศึกษา ค้นคว้า รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลวิชาการและกฎหมาย ตาราง 4 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการจัดเตรียมปฏิบัติงานวิชาการและกฎหมาย (ก่อนการปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หลังการปฏิบัติ) ตาราง 5 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการรวบรวมองค์ความรู้ในการปฏิบัติหน้าที่จำเป็นต้องใช้ ตาราง 6 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านวิชาการและกฎหมายมีข้อจำกัด (ด้านทักษะดิจิทัล ด้านภาษาต่างประเทศ) ตาราง 7 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพการปรับปรุงการทำงานร่วมกัน (ระหว่างกลุ่มงาน ระหว่างสำนัก ระหว่างหน่วยงานภายนอก) ตารางที่ 8 จำนวนและร้อยละของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ตารางที่ 9 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการใช้เทคโนโลยี ตารางที่ 10 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการจัดทำร่างญัตติ, รายงาน ตารางที่ 11 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนมีความรู้ความสามารถทักษะและประสบการณ์ ตารางที่ 12 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการบริการการศึกษาค้นคว้ารวบรวม วิเคราะห์ ทำเล่ม ตารางที่ 13 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ตารางที่ 14 จำนวนและร้อยละการให้บริการสื่อ การบริการทำคลิป การบริการคลิปการพูด หรือ VCD ตารางที่ 15 จำนวนและร้อยละฐานข้อมูล (Big Data) เพื่อทำการสืบค้นได้ง่ายและรวดเร็ว ตารางที่ 16 จำนวนและร้อยละแหล่งข้อมูลปฐมภูมิช่วยค้นหาข้อมูล ตารางที่ 17 จำนวนและร้อยละการใช้บริการเว็บไซต์ ตารางที่ 18 จำนวนและร้อยละการเสริมสร้างและพัฒนาข้อมูลเพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลนิติบัญญัติ สารบัญภาพ ภาพที่ 1 สภาพปัญหาด้านคุณภาพการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสนับสนุนการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 3 จำนวนและร้อยละของกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ภาพที่ 4 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการใช้เทคโนโลยี ภาพที่ 5 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการจัดทำร่างญัตติ,รายงาน ภาพที่ 6 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนมีความรู้ความสามารถทักษะและประสบการณ์ ภาพที่ 7 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการบริการการศึกษาค้นคว้า รวบรวม วิเคราะห์ทำเล่ม ภาพที่ 8 จำนวนและร้อยละบุคลากรสนับสนุนในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ภาพที่ 9 จำนวนและร้อยละการให้บริการสื่อ การบริการทำคลิป การบริการคลิปการพูด หรือ VCD ภาพที่ 10 จำนวนและร้อยละฐานข้อมูล (Big Data) เพื่อทำการสืบค้นได้ง่ายและรวดเร็ว ภาพที่ 11 จำนวนและร้อยละแหล่งข้อมูลปฐมภูมิช่วยค้นหาข้อมูล ภาพที่ 12 จำนวนและร้อยละการใช้บริการเว็บไซต์ ภาพที่ 13 จำนวนและร้อยละการเสริมสร้างและพัฒนาข้อมูล เพื่อเป็นศูนย์ข้อมูลนิติบัญญัติ ประวัติผู้วิจัย2563รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง การทำหน้าที่ของวุฒิสภาในการตรวจสอบถ่วงดุล: กรณีศึกษาการตั้งกระทู้ธนาชัย สุนทรอนันตชัย; ปกรณ์ ปาลวงษ์พาณิช; กษมา สุขนิวัฒน์ชัย; ทวนชัย โชติช่วง (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2566)การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อศึกษาแนวคิดและเจตนารมณ์ของการตั้งกระทู้ถามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาการทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาตามบทเฉพาะกาล มาตรา 269 ของรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารโดยการตั้งกระทู้ถาม สาเหตุให้การตั้งกระทู้ถามไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลที่เกิดขึ้นจากการตั้งกระทู้ถามต่อการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร ตลอดจนเพื่อสร้างข้อเสนอในการแก้ไขปรับปรุงมาตรการทางกฎหมาย และกำหนดแนวทางในการนำเครื่องมือการตั้งกระทู้ถามนั้นไปใช้ในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 โดยคณะผู้วิจัยได้ใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพจากการศึกษาวิจัยเอกสาร และการวิจัยภาคสนามผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการศึกษาวิจัยผลการศึกษาวิจัยพบว่า เจตนารมณ์สำคัญของการตั้งกระทู้ถาม เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร นอกจากนั้น ยังได้พบปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการกำหนดประเด็นในการตั้งกระทู้ถามของสมาชิกวุฒิสภา วิธีการหรือกระบวนการกำหนดประเด็นในการตั้งกระทู้ถามของสมาชิกวุฒิสภา และความมีอิสระของสมาชิกวุฒิสภาที่ส่งผลต่อการกำหนดประเด็นในการตั้งกระทู้ถาม รวมทั้งการศึกษาถึงสาเหตุที่ส่งผลให้การตั้งกระทู้ถามไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งสาเหตุที่มาจากสมาชิกวุฒิสภาในฐานะผู้ตั้งกระทู้ถาม และสาเหตุจากฝ่ายบริหารในฐานะผู้ตอบกระทู้ถาม ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการตั้งกระทู้ถามต่อการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร คณะผู้วิจัยได้มีข้อเสนอแนะต่อแนวทางการนำเครื่องมือการตั้งกระทู้ถามไปใช้ในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ทั้งข้อเสนอแนะต่อมาตรการทางกฎหมาย และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางต่าง ๆ เพื่อให้การตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไปปก คำนำ บทสรุปเชิงนโยบาย Policy Brief บทสรุปสำหรับผู้บริหาร Executive Summary บทคัดย่อ Abstract สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ บทที่ 1บทนำ -1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา -1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย -1.3 ขอบเขตของการวิจัย -1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและกรอบแนวคิดทฤษฎี -2.1 การทบทวนวรรณกรรม --2.1.1 แนวคิดอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน --2.1.2 หลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตย --2.1.3 ระบบและโครงสร้างของรัฐสภา --2.1.4 วิธีการได้มา บทบาทหน้าที่ และอำนาจของวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย --2.1.5 การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของวุฒิสภาโดยการตั้งกระทู้ถาม --2.1.6 กรณีศึกษาของต่างประเทศที่เกี่ยวกับการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของวุฒิสภา โดยการตั้งกระทู้ถาม ---2.1.6.1 ประเทศอังกฤษ ---2.1.6.2 ประเทศออสเตรเลีย -ตาราง 1 เปรียบเทียบการตั้งกระทู้ถามของสมาชิกวุฒิสภาประเทศอังกฤษ และประเทศออสเตรเลีย --2.1.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง -2.2 กรอบแนวคิดทฤษฎี -ภาพ 1 กรอบแนวคิดทฤษฎี -2.3 กรอบแนวคิดการวิจัย -ภาพ 2 กรอบแนวคิดการวิจัย บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย -3.1 แนวทางและวิธีการวิจัย -3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง -3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล -3.4 แนวความคิดในการวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการวิจัย -4.1 ผลการศึกษาแนวคิดและเจตนารมณ์ของการตั้งกระทู้ถามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง -4.2 ผลศึกษาการทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารโดยการตั้งกระทู้ถาม สาเหตุให้การตั้งกระทู้ถามไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลที่เกิดขึ้นจากการตั้งกระทู้ถามต่อการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร -ตาราง 2 สรุปจำนวนกระทู้ถามต่อสมัยประชุม จำแนกตามประเภทของกระทู้ถาม ผู้ตอบกระทู้ถาม แหล่งที่ตอบกระทู้ถาม และกระทู้ที่ตกไปหรือขอถอน -ตาราง 3 สรุปจำนวนกระทู้ถามต่อสมัยประชุม โดยพิจารณาเกี่ยวกับผลการติดตามการดำเนินการตามกระทู้ถาม -ตาราง 4 รายชื่อสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันที่มีการตั้งกระทู้ถามเรียงลำดับตามจำนวนกระทู้ถามที่ตั้ง -ตาราง 5 ประเด็นคำถามที่ตั้งกระทู้ถามมากที่สุดเรียงลำดับตามประเด็นคำถามที่ตั้งกระทู้ถาม -4.3 ผลการสังเคราะห์ข้อเสนอในการแก้ไขปรับปรุงมาตรการทางกฎหมาย และกำหนดแนวทางในการนำเครื่องมือการตั้งกระทู้ถามนั้นไปใช้ในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ -5.1 สรุปผลการศึกษาวิจัย -5.2 อภิปรายผล -5.3 ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก -ภาคผนวก ก. แนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก -ภาคผนวก ข. ตารางสรุปประเด็นของกระทู้ถามจำแนกตามรายชื่อของสมาชิกวุฒิสภาที่มีตั้งกระทู้ถาม ประวัติคณะผู้วิจัย ปกหลัง2566รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง คุณลักษณะเฉพาะของผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสู่การปฏิบัติงานที่เป็นเลิศศรุดา สมพอง (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2563)ปก กิตติกรรมประกาศ บทสรุปเชิงนโยบาย บทสรุปสำหรับผู้บริหาร บทคัดย่อ สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ บทที่ 1 บทนำ -1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา -1.2 คำถามการวิจัย -1.3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย -1.4 ขอบเขตของการวิจัย -1.5 ข้อจำกัดในการวิจัย -1.6 นิยามศัพท์ -1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมและกรอบแนวคิดทฤษฎี -2.1 การทบทวนวรรณกรรม --2.1.1 บทบาทหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร -2.2 กรอบแนวคิดทฤษฎี --2.2.1 ทฤษฎีภาวะผู้นำ (Leaderships Theory) --2.2.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการฝึกอบรม --2.2.3 แนวคิดการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Management towards Excellence) --2.2.4 แนวคิดการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management: NPM) --2.2.5 แนวคิดการบริการสาธารณะแนวใหม่ (New Public Service: NPS) --2.2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ -2.3 กรอบแนวคิดการวิจัย -ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย -3.1 แนวทางและวิธีการวิจัย -3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง -3.3 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล -3.4 แนวความคิดในการวิเคราะห์ข้อมูล -ตารางที่ 1 ประเด็นวิเคราะห์และวิธีการศึกษาตามวัตถุประสงค์ในการศึกษาวิจัย บทที่ 4 ผลการวิจัย -4.1 สภาพการดำเนินงานและบทบาทผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร -4.2 ความแตกต่างของผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ. 2554–2563 -ตารางที่ 2 เปรียบเทียบระหว่างความแตกต่างของผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ พ.ศ. 2554-2563 -4.3 ฐานข้อมูลในการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นเลิศ -4.4 การวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ -5.1 สรุปผลการวิจัย -ตารางที่ 3 ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอดีตกับปัจจุบัน -5.2 อภิปรายผลการวิจัย -ตารางที่ 4 เปรียบเทียบความเหมือน/ความแตกต่างในการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบของ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ติดตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร -5.3 ข้อเสนอแนะจากนักวิชาการ -5.4 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย -5.5 ข้อเสนอแนะในการบริหารจัดการ -5.6 ข้อเสนอแนะสำหรับงานวิจัยในครั้งต่อไป บรรณานุกรม ภาคผนวก -ภาคผนวก ก กระเบียบ/ประกาศรัฐสภา -ภาคผนวก ข ข้อมูลความคิดเห็นของจากการสัมภาษณ์ แบบเจาะลึก (In depth Interview) และสนทนากลุ่ม (Focus Groups) -ภาคผนวก ค ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) และภาพการสัมภาษณ์และสนทนากลุ่ม ประวัติผู้วิจัย2563รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ การส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนปวริศร เลิศธรรมเทวี; อัจฉรา ชินนิยมพาณิชย์ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2560)ปกหน้า คำนำ สารบัญ บทสรุปสำหรับผู้บริหาร Executive Summary สารบัญแผนภูมิ สารบัญตาราง บทที่ 1 บทนำ -1.1 ที่มาและความสำคัญของการวิจัย -1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย -1.3 ขอบเขตการศึกษา -1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ -1.5 โครงสร้างรายงานวิจัย บทที่ 2 การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านพลังงาน -2.1 แนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) -2.2 แนวคิดเรื่องพลังงานที่ยั่งยืน --2.2.1 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านพลังงาน --2.2.2 การตอบสนองต่อความท้าทายด้านพลังงาน 3 ด้าน (Energy Trilemma) -2.3 แนวคิดเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม --2.3.1 หลักการพื้นฐานของกฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ --2.3.2 สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่รับรองในกฎหมายระหว่างประเทศ --3.3.3 ประชาคมอาเซียน กับแนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน บทที่ 4 การส่งเสริมพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนของประเทศสมาชิกอาเซียน -4.1 การส่งเสริมพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน และพลังงานหมุนเวียนของอาเซียน -4.2 สถานการณ์ปัจจุบันด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียน --4.2.1 พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล -แผนภูมิที่ 1 อุปสงค์พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างปี พ.ศ. 2533-2583 -แผนภูมิที่ 2 อุปสงค์พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างปี พ.ศ. 2533-2583 (แยกประเภท) -แผนภูมิที่ 3-4 เปรียบเทียบสัดส่วนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลผลิตไฟฟ้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างปี พ.ศ. 2566 และ 2583 -แผนภูมิที่ 5 ข้อมูลแหล่งพลังงานน้ำมันดิบของประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. 2557-2558 -แผนภูมืที่ 6 ข้อมูลก๊าซธรรมชาติของประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. 2557-2558 --4.2.2 พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน และพลังงานหมุนเวียน -แผนภูมิที่ 7 สัดส่วนปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติของประเทศสมาชิกอาเซียน -แผนภูมิที่ 8 ภาพรวมแหล่งพลังงานหมุนเวียนของประเทศสมาชิกอาเซียน -แผนภูมิที่ 9-10 ปริมาณการผลิตพลังงานจากชีวมวลและปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลของประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. 2556 -แผนภูมิที่ 11 การใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพและวัสดุเหลือใช้ของประเทศสมาชิกอาเซียน ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2557 -แผนภูมิที่ 12 ศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์/แผงโซลาร์ของประเทศสมาชิกอาเซียน ปี พ.ศ. 2558 -4.3 แนวนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนของประเทศสมาชิกอาเซียน --4.3.1 เนการาบรูไนดารุสซาลาม --4.3.2 ราชอาณาจักรกัมพูชา --4.3.3 สาธารณรัฐอินโดนีเซีย --4.3.4 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว --4.3.5 สหพันธรัฐมาเลเซีย --4.3.6 สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า --4.3.7 สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ --4.3.8 สาธารณรัฐสิงคโปร์ --4.3.9 ราชอาณาจักรไทย --4.3.10 สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม -ตารางที่ 1 สรุปแนวนโยบายส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนของประเทศสมาชิกอาเซียน บทที่ 5 การใช้พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนของไทย \ -5.1 นิยามความหมาย --5.1.1 พลังงานทางเลือก หรือ พลังงานทดแทน (Alternative Energy) --5.1.2 พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) -5.2 สถานการณ์ปัจจุบันด้านพลังงานของไทย --5.2.1 ภาพรวมของสถานการณ์พลังงานของไทย --5.2.2 ภาพรวมของสถานการณ์พลังงานหมุนเวียนและการใช้พลังงานทดแทนของไทย -5.3 ไทยและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านพลังงาน -5.4 ความร่วมมือระหว่างประเทศของไทยในการส่งเสริมและการใช้พลังงานหมุนเวียน --5.4.1 ระดับสากล --5.4.2 ระดับภูมิภาค -5.5 แนวนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง --5.5.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย --5.5.2 คำแถลงนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล --5.3.3 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560-2564 --5.5.4 แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก --5.5.5 กฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) --5.5.6 กฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้ชีวมวลและพลังงานชีวภาพ (Biomass and Bioenergy) และเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) --5.5.7 กฎหมายเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้พลังงานลม (Wind Energy) -5.6 หน่วยงานที่รับผิดชอบ --5.6.1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ --5.6.2 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน -5.7 ปัญหาและแนวทางการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนของไทย --5.7.1 เป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนและต่อเนื่อง --5.7.2 ความพร้อมทางด้านกฎหมาย --5.7.3 การบูรณาการและการทำงานร่วมกัน บทที่ 6 บทสรุปและข้อเสนอแนะ -6.1 บทสรุป -6.2 ข้อเสนอแนะ --6.2.1 การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านพลังงาน --6.2.2 พลังงานหมุนเวียนตามแนวนโยบายของอาเซียน --6.2.3 นิยามความหมายที่ชัดเจนของพลังงานหมุนเวียน --6.2.4 เป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนและต่อเนื่อง --6.2.5 จัดเตรียมความพร้อมด้านกฎหมาย --6.2.6 การบูรณาการและการทำงานร่วมกัน -ตารางที่ 2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนของไทย บรรณานุกรม ภาคผนวก -ภาคผนวก 1 ประวัติคณะนักวิจัย -ภาคผนวก 2 ร่างพระราชบัญญัติพลังงานทดแทน พ.ศ. .... และบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติพลังงานทดแทน พ.ศ. ....2560รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ รายงานการศึกษาการพัฒนาห้องสมุดรัฐสภาเพื่อรองรับรัฐสภาใหม่คณะทำงานจัดทำรายงานการศึกษาการพัฒนาห้องสมุดรัฐสภาเพื่อรองรับรัฐสภาใหม่; สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักวิชาการ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2562-05)ปก คำนำ สารบัญ บทที่ 1 ข้อมูลพื้นฐานของห้องสมุด บทที่ 2 การศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้บริการ และแนวปฏิบัติของห้องสมุดอื่น บทที่ 3 ห้องสมุดรัฐสภา : ศูนย์ข้อมูลนิติบัญญัติแห่งชาติ บทที่ 4 บทสรุปและข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก ข้อมูลอัตรากำลังข้าราชการ กลุ่มงานห้องสมุดและกลุ่มงานพัฒนาทรัพยากรสารสนเทศ สำนักวิชาการ ภาคผนวก ข คำสั่งสำนักวิชาการ ที่ 1/2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำรายงานการศึกษาการพัฒนาห้องสมุดรัฐสภาเพื่อรองรับรัฐสภาใหม่ ภาคผนวก ค คำสั่งสำนักวิชาการ ที่ 6/2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำรายงานการศึกษาการพัฒนาห้องสมุดรัฐสภาเพื่อรองรับรัฐสภาใหม่ (เพิ่มเติม)2562-05รายการข้อมูล เปิดให้เข้าถึงได้ การสำรวจระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของข้าราชการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรสิฐสร กระแสร์สุนทร; สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักวิชาการ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนา (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2567-10)การศึกษาเรื่องการสำรวจระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรทั้งค่านิยมของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและค่านิยมร่วมของส่วนราชการสังกัดรัฐสภาของข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และศึกษาแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการปฏิบัติตนให้กับข้าราชการในด้านดังกล่าว โดยผู้ศึกษาใช้แบบสอบถามวัดระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับข้าราชการจากทุกหน่วยงานในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1. ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถามในครั้งนี้เป็นข้าราชการรัฐสภาสามัญทั้งประเภทวิชาการและประเภททั่วไป อายุเฉลี่ยประมาณ 45 ปีประสบการณ์ในการทำงานประมาณ 17 ปี มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 49,000 บาท และส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาตรี 2. การปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรร่วมของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา พบว่าข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีระดับการปฏิบัติตนโดยรวมอยู่ในระดับ “เป็นประจำ” เมื่อพิจารณารายด้านจะเห็นได้ว่าข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีการปฏิบัติตนด้านมีวินัยสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านใจซื่อตรงและด้านสามัคคีตามลำดับ 3. การปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พบว่า ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีระดับการปฏิบัติตนโดยรวมอยู่ในระดับ “เป็นประจำ” เมื่อพิจารณารายด้านจะเห็นได้ว่าข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีการปฏิบัติตนด้านมีวินัยสูงที่สุด รองลงมา คือ ด้านถือหลักพอเพียง ส่วนด้านที่มีระดับการปฏิบัติค่อนข้างน้อยเมื่อพิจารณาเทียบกับด้านอื่น ๆ คือ ด้านสามัคคี มีระดับการปฏิบัติตนอยู่ในระดับมาก 4. พัฒนาการของระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปรียบเทียบระหว่าง พ.ศ. 2562 กับ พ.ศ. 2567 พบว่าข้าราชการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีการปฏิบัติตนอยู่ในระดับ “เป็นประจำ” ทั้ง 2 ปีงบประมาณ เมื่อพิจารณาถึงพัฒนาการของระดับการปฏิบัติเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มีระดับการปฏิบัติตน “ลดลงเล็กน้อย” มีจำนวน 3 ด้าน คือ จิตบริการ ใจสัตย์ซื่อ สมานสามัคคี (ตามลำดับ) ทั้งนี้ ในการศึกษาลำดับถัดไปผู้ศึกษาจะได้ทำการศึกษาเพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการปฏิบัติตนของข้าราชการตามค่านิยมองค์กรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยมุ่งเน้นศึกษาวิธีการพัฒนา 3 ด้านข้างต้นต่อไป 5. แนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กร พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นด้วยอยู่ในระดับมากทุกด้านกับแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาที่ผู้ศึกษาเสนอไป ประกอบด้วย (1) การศึกษาดูงานหน่วยงานที่ประสบความสำเร็จเรื่องการรณรงค์ส่งเสริม (2) การจัดทำป้ายรณรงค์หรือเชิญชวน (3) การอบรม/สัมมนา ส่วนด้านที่มีระดับความเห็นด้วยไม่มากนัก คือการจัดประกวดแข่งขันการปฏิบัติตามค่านิยมองค์กรระหว่างหน่วยงานภายในบทคัดย่อในรูปแบบอินโฟกราฟิกส์ (Abstract Infographics) บทที่ 1 บทนำ -1.1 ภูมิหลัง -1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา -1.3 ขอบเขตของการศึกษา -1.4 ระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษา -1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ -1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง -2.1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรม -2.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับค่านิยมองค์กร -2.3 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร -2.4. งานวิจัยในประเทศและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 ระเบียบวิธีการศึกษา -3.1 วิธีการศึกษาและการเก็บรวบรวมข้อมูล -3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง -ตาราง 1 จำนวนประชาการและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ (จำแนกตามหน่วยงาน) -3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา -ตาราง 2 การแปลความหมายคะแนนเฉลี่ยรายข้อของแบบสอบถาม -ภาพ 1 วิธีการพัฒนาและการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถาม -3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล บทที่ 4 ผลการศึกษา -4.1 สัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล -4.2 การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล -ตาราง 3 ข้อมูลส่วนบุคคลของข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง: กรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในมาตราอันตรภาคหรือมาตราอัตราส่วน (Interval Scale - Ratio Scale) -4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล -ตาราง 4 ข้อมูลส่วนบุคคลของข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง : กรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ในมาตราเรียงอันดับ (Ordinal Scale) -ตาราง 5 ระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรร่วมของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา -ตาราง 6 ระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรร่วมของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา (จำแนกรายข้อคำถาม) -ภาพ 2 กราฟแสดงระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรร่วมของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา -ตาราง 7 ระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร -ภาพ 3 กราฟแสดงระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร -ตาราง 8 ระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำแนกรายข้อคำถาม -ตาราง 9 พัฒนาการของระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปรียบเทียบระหว่าง พ.ศ. 2562 กับ พ.ศ. 2567 -ตาราง 10 แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการประพฤติปฏิบัติตนให้สอดรับกับค่านิยมองค์กร -ภาพ 4 กราฟแสดงพัฒนาการของระดับการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กรของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปรียบเทียบระหว่าง พ.ศ. 2562 กับ พ.ศ. 2567 -ตาราง 11 ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กร บทที่ 5 สรุปผลการศึกษา อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ -5.1 สรุปผลการศึกษา -5.2 อภิปรายผล -5.3 ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก -ภาคผนวก ก ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย -ภาคผนวก ข ผลการหาค่าความเที่ยงตรงเชิงพินิจของแบบสอบถาม (IOC) -ตาราง 12 ค่าความเที่ยงตรงเชิงพินิจ (IOC) ของข้อคำถามที่ใช้ในการวัดการปฏิบัติตนตามค่านิยมองค์กร ของข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร -ภาคผนวก ค หนังสือขอเก็บข้อมูลการศึกษา -ภาคผนวก ง แบบสอบถาม -ภาคผนวก จ ประวัติผู้ศึกษา2567-10